ความสัมพันธ์ระหว่าง MB&F กับโลกแห่งยานยนต์นั้นมีความลึกซึ้งและยาวนาน เริ่มต้นตั้งแต่ปี 2012 ด้วยผลงาน HM5 ตามด้วย HMX ในปี 2015 และ HM8 ในปี 2016 การออกแบบในแต่ละรุ่นมีเชื่อมโยงที่โดดเด่น นั่นคือการใช้ดิสเพลย์ที่แสดงผลในรูปแบบของมาตรวัดความเร็วซึ่งจดวางอยู่ด้านข้างของตัวเรือน ซึ่งสื่อถึงการออกแบบที่กล้าหาญและล้ำสมัยในสไตล์ยุค 1970



แรงบันดาลใจ
HM5 นำเสนอการออกแบบตัวเรือนอันล้ำสมัย ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากสองไอคอนในยุค 1970 ได้แก่
ซุปเปอร์คาร์สมรรถนะสูงอย่าง Lamborghini Miura (ที่ Maximilian Büsser ต้องการเป็นนักออกแบบรถยนต์) ซึ่งมีช่องระบายอากาศบนกระจกหลังและนาฬิกา Amida Digitrend
จุดเด่นที่สำคัญ
โดดเด่นด้วยกลไกการแสดงเวลาที่ผสานดีไซน์ล้ำสมัยเข้ากับความแม่นยำอย่างลงตัว ด้วยระบบแสดงเวลารูปแบบจักรกลดิจิทัล โดยใช้ดิสก์หมุนแบบสองทิศทางในการแสดงชั่วโมงและนาทีแบบกระโดด (Jumping Hours and Minutes) เพิ่มความน่าตื่นตาและอ่านค่าเวลาได้ชัดเจน นอกจากนี้ยังมาพร้อมการออกแบบ Optical Illusion ในรูปทรงเรขาคณิต ซึ่งต้องใช้เวลาปรับแต่งนานถึง 60 ชั่วโมง ช่วยสะท้อนและขยายการแสดงเวลาในแนวตั้งได้อย่างน่าทึ่ง ภายในตัวเรือนประกอบด้วยกลไกแบบแยกส่วนที่ทนทานและสามารถกันน้ำได้ พร้อมนวัตกรรมแผ่นปีกช่องระบายอากาศที่ขยับได้ เพื่อชาร์จพลังงานให้กับสารเรืองแสง Super-LumiNova สำหรับการแสดงเวลาในที่มืดได้อย่างมีประสิทธิภาพและสุดท้าย ยังมีพอร์ตระบายน้ำเพื่อช่วยให้มั่นใจในความทนทานและการใช้งานในสภาพแวดล้อมที่หลากหลาย


แรงบันดาลใจ
อิทธิพลจากซุปเปอร์คาร์หลายรุ่นสามารถเห็นได้จากการออกแบบของ HMX โดยเฉพาะอย่างยิ่งสไตล์ Superleggera อันเป็นเอกลักษณ์ของผู้สร้างรถยนต์ชื่อดังจากอิตาลี Carrozzeria Touring ซึ่งเป็นผู้สร้างรถยนต์อย่าง Alfa Romeo Disco Volante ได้สะท้อนอยู่ใน "coachwork" ของเครื่องจักรกลนี้
จุดเด่นที่สำคัญ
นาฬิกาดิจิทัลในรูปแบบจักรกล ที่มาพร้อมกลไกการบอกเวลาอันซับซ้อน ด้วยดิสก์หมุนแบบสองทิศทาง ซึ่งแสดงชั่วโมงและนาทีแบบกระโดด (Jumping Hours and Minutes) เพิ่มมิติแห่งการรับรู้เวลาที่ไม่เหมือนใคร โดดเด่นด้วยการออกแบบกระจกคริสตัลแซฟไฟร์ที่ครอบคลุมทั้งด้านบน ด้านหน้า และด้านหลังของหน้าปัด เคลือบสารกันแสงสะท้อนทั้งสองด้านเพื่อให้เห็นรายละเอียดได้อย่างชัดเจน โดยแสดงเวลาอย่างน่าทึ่งผ่านช่องแสดงเวลาที่ประกบด้วยแผ่นแซฟไฟร์คู่ ซึ่งฝังเลนส์ขยายในตัวเพื่อเพิ่มความชัดเจนในการมองเวลา ผลิตอย่างพิถีพิถันในจำนวนจำกัด มีให้เลือก 4 รุ่น โดยแต่ละรุ่นผลิตเพียง 20 เรือนเท่านั้น


แรงบันดาลใจ
การออกแบบ HM8 เป็นการผสมผสานระหว่าง HM3’s battle-axe rotor มีชื่อเสียงของ HM3 ซึ่งวางอยู่ด้านบนตัวเรือนนาฬิกา การออกแบบได้รับแรงบันดาลใจจากรถแข่ง Can-Am ความเร็วสูงในยุค 70 ซึ่งมี "โรลบาร์" โครเมียมเพื่อปกป้องเครื่องยนต์ที่มีกำลังมากกว่า 1,000 แรงม้า โดย Can-Am มาพร้อมประสิทธิภาพเกิดขีดจำกัด ด้วยขนาดเครื่องยนต์พิเศษ การใช้เทอร์โบชาร์จ ซูเปอร์ชาร์จ และอากาศพลศาสตร์ที่แทบจะไม่มีข้อจำกัดจิตวิญญาณของการสร้างสรรค์ที่เหนือระดับ เป็นแรงบันดาลใจสำคัญในการออกแบบ HM8
จุดเด่นที่สำคัญ
HM8 มาพร้อมการบอกเวลาแบบดิจิทัลผ่านระบบกลไกที่ล้ำสมัย โดยใช้ดิสก์หมุนสองทิศทางในการแสดงชั่วโมงและนาทีในรูปแบบ Jumping Hours and Minutes มอบประสบการณ์การอ่านเวลาอย่างแปลกใหม่และน่าตื่นตา Optical Illusion จากชิ้นส่วนเรขาคณิตสองชิ้นที่จัดวางอย่างประณีต เพื่อสะท้อนและขยายการแสดงเวลาในแนวตั้งได้อย่างน่าทึ่ง บริเวณด้านบนของตัวเรือนถูกออกแบบให้เรียบหรูด้วยแผ่นคริสตัลแซฟไฟร์ชิ้นเดียว ที่ผ่านการเคลือบโลหะบางส่วนอย่างประณีต เพื่อสร้างขอบที่ให้ทั้งมิติและความคมชัดแก่หน้าปัด ตัวเรือนผลิตจากไทเทเนียมเกรดสูง Ti-6Al-4V ซึ่งขึ้นรูปได้ยาก จึงต้องใช้เทคนิคการตัดจากบล็อกไทเทเนียมทั้งชิ้น เพื่อรักษาความแข็งแกร่ง เบา และความแม่นยำในทุกรายละเอียด


แรงบันดาลใจ
HM8 Mark2 คือ นาฬิกา MB&F รุ่นล่าสุดและพัฒนาที่สุด ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากอุตสาหกรรมยานยนต์ โดยนำเอาคุณสมบัติที่ดีที่สุดจากเครื่องจักรก่อนหน้านี้ (HM5 / HMX / HM8) มารวมกัน ไม่ว่าจะเป็นการแสดงผลเวลาชั่วโมงและนาทีในแนวตั้ง ขนาดและความสะดวกสบายในการสวมใส่ ตัวเรือนคริสตัลแซฟไฟร์ และโรเตอร์ที่สามารถมองเห็นได้ รวบรวมไว้ในนาฬิกาเรือนนี้ ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก Porsche 918 Spyder ส่วนการออกแบบด้านหลังของรถถูกเชื่อมโยงกับกระจกแซฟไฟร์แบบโค้งคู่ของนาฬิการุ่นนี้
จุดเด่นที่สำคัญ
การแสดงเวลามีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ด้วยระบบแสดงชั่วโมงแบบกระโดด (Jumping Hours) และนาทีที่เปลี่ยนแปลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป ผ่านช่องกระจกคริสตัลแซฟไฟร์คู่ที่ฝังเลนส์ขยายภายใน มอบมุมมองที่ชัดเจนและลุ่มลึกยิ่งขึ้นหนึ่งในความซับซ้อนทางวิศวกรรมที่โดดเด่นคือการสร้างแผ่นแซฟไฟร์แบบโค้งคู่ (Double-Curved Sapphire) ซึ่งต้องใช้ความแม่นยำสูงทั้งในการขึ้นรูปและการประกอบตัวเรือนผลิตจากไทเทเนียมเกรด 5 ที่ถูกตัดอย่างประณีตจากบล็อกวัสดุ เพื่อคงไว้ซึ่งน้ำหนักเบา ความแข็งแกร่ง และความทนทานในระดับสูงสุด อีกหนึ่งนวัตกรรมระดับโลกคือ A world-premiere crown – เม็ดมะยมที่สามารถปลดล็อกกลไกได้โดยการกดลงลึกเพียงสามในสี่ของระยะการเคลื่อนที่ สะท้อนความล้ำสมัยทั้งในด้านฟังก์ชันและประสบการณ์การใช้งานนอกจากนี้ ยังมีการนำวัสดุ CarbonMacrolon ซึ่งพัฒนาโดย MB&F มาใช้—วัสดุคอมโพสิตที่ประกอบด้วยโพลิเมอร์แมทริกซ์ที่ฉีดเสริมด้วยคาร์บอนนาโนทูบ เพื่อเพิ่มความแข็งแรงและความทนทานอย่างเหนือชั้น